วิธีป้องกัน และจัดการของแบรนด์ เมื่อ Social Crisis ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น

ในโลกออนไลน์ที่มีประเด็น ข่าวสารใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาไม่หยุด รวมทั้งผู้คนสามารถมีส่วนร่วมกับประเด็นต่าง ๆ ได้ง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็น หรือแชร์ ทำให้ข่าวสารแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็ว ทำใหหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดบางอย่าง กลับกลายมาเป็นประเด็นใหญ่ จนบางครั้งอาจเกิดเป็น Social Crisis หรือที่เรียกว่า วิกฤตทางโซเชียลมีเดีย ได้ 

สารบัญ

  1. Social Crisis คืออะไร 

  2. ขั้นตอนการจัดการภาวะวิกฤตบนโลกโซเชียล (Social Crisis Management)   

  3. สรุป

Social Crisis คืออะไร 

คือการที่ผู้คนพูดถึงแบรนด์ในเชิงลบจำนวนหลายคนในช่วงเวลาเดียวกันอย่างกะทันหัน เหนือการคาดการณ์ (หรือที่ปัจจุบันนิยมเรียกกันว่าทัวร์ลง) จนกลายเป็นประเด็นดราม่า เกิดผลกระทบต่อชื่อเสียง และความเชื่อมั่นของแบรนด ทำให้แบรนด์ไม่สามารถรับมือได้ 

โดย Social Crisis เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแตปัญหาจากสินค้า และบริการ จนเกิดการร้องเรียนจากลูกค้า ซึ่งหากมีลูกค้าจำนวนมากพบเจอปัญหาเดียวกัน ก็อาจจะทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างมากขึ้นได้ ปัญหาการสื่อสารกับลูกค้าทางออนไลน์ของแบรนด ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถาม หรือให้คำแนะนำแบบผิด รวมไปถึงการตอบโต้คอมเมนต์ในทางที่ไม่ดี ก็สร้างความไม่พอใจให้ลูกค้าได้ รวมไปถึงกรณีที่เกิดปัญหา แต่แบรนดไม่รับรู้ หรือเลือกที่จะไม่ชี้แจง ก็อาจส่งผลให้ประเด็นดราม่าลุกลามได้ ซึ่งการทำ Social Crisis Management หรือ การรับมือวิกฤตบนโลกโซเชียจะช่วยในการรับมือ จัดการภาพลักษณ์ และรักษาความเชื่อมั่นของผู้คนที่มีต่อแบรนดได้ 

ขั้นตอนการจัดการภาวะวิกฤตบนโลกโซเชียล (Social Crisis Management)   

ขั้นตอนการจัดการกับภาวะวิกฤตบนโลกโซเชียล (Social Crisis Management) คือ การบริหารจัดการภาพลักษณ์ของแบรนด์ เมื่อแบรนดประสบกับวิกฤตชื่อเสียง บนโลกออนไลน์ ตั้งแต่การป้องกัน รับมื และแก้ปัญหากับประเด็นดราม่าต่าง แบรนด์จึงต้องให้ความสำคัญตั้งแต่ขั้นตอนการป้องกัน อย่างการคอยติดตามความคิดเห็นต่าง ด้วยการจัดตั้งทีมสื่อสารของแบรนด์ ที่เชี่ยวชาญในการสื่อสารอย่างเหมาะสมกับสถานการณ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารทั่วไป การชี้แจงประเด็นปัญหา หรือการควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในการควบคุม ไม่แพร่สะพัดเป็นวงกว้างเพิ่มขึ้น โดยสามารถกล่าวเป็นขั้นตอนการจัดการกับภาวะวิกฤตบนโลกโซเชียล (Social Crisis Management) ได้ดังนี้ 

1.ติดตามสถานการณ์ ทำความเข้าใจวิกฤตและกำหนดวัตถุประสงค์ในการสื่อสาร

การติดตามการพูดถึงสินค้า บริการ หรือตัวแบรนด์ตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการดูความเคลื่อนไหวของทิศทางความคิดเห็น ซึ่งถ้าเกิดความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ก็จะสามารถตรวจสอบ และแก้ปัญหาได้ทันเวลาก่อนเกิด Social Crisis ขึ้น ดังนั้นแบรนด์จึงจำเป็นต้องใช้ทีมงานที่เชี่ยวชาญ หรือใช้เครื่องมือ Monitoring Tools เพื่อดูแลสื่อออนไลน์ และช่วยในการประเมินความร้ายแรงของวิกฤต ที่จะมีผลต่อความเชื่อมั่นของแบรนด์ และการทำความเข้าใจที่มาที่ไปของวิกฤต โดยเฉพาะวิกฤตที่เกิดจากการสื่อสารว่าเกิดจากสาเหตุใดเป็นเรื่องที่จะช่วยกำหนดวัตถุประสงค์ในการสื่อสารได้ ว่าต้องการชี้แจงในเรื่องใด หรือต้องการสื่อสารเพื่อลดทอนความรุนแรงของอารมณ์จากคนในสังคม เป็นต้น 

2.เลือกกลยุทธ์ในการสื่อสาร และเลือกแนวทางการจัดการปัญหา Social Crisis ให้เหมาะสม 

การสื่อสารแบรนด์ในภาวะวิกฤต สามารถสร้างผลกระทบไว้ทั้งในเชิงบวก และเชิงลบ เมื่อแบรนด์ประสบกับประเด็นปัญหาดราม่า หรือโดน “ทัวร์ลง” การเลือกกลยุทธ์ในการสื่อสารนั้น จึงต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 กลยุทธ์ดังต่อไปนี้  

          2.1 การปฏิเสธ 

          เมื่อประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นไม่อยู่ในความรับผิดชอบของแบรนด์ แบรนด์สามารถปฏิเสธได้อย่างหนักแน่น และตรงไปตรงมาได้โดยการโต้ตอบว่าข่าวสารหรือข้อกล่าวหาดังกล่าวที่ไม่เป็นความจริง และก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อแบรนด์ สามารถดำเนินคดีฟ้องร้องกลับเมื่อบริษัทถูกทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และความเชื่อมั่น 

           2.2 ลดความรุนแรงของสถานการณ์  

           เมื่อเกิดกระแสความไม่พอใจต่อแบรนด์ หรือแบรนด์อย่างรุนแรง ที่ควรดำเนินการเป็นอย่างแรกคือการจำกัดความรุนแรงของวิกฤต ทำให้แบรนด์เสียชื่อเสียง และความเชื่อมั่นน้อยลง โดยสิ่งที่สามารถลดความรุนแรงได้ มีทั้งในรูปแบบการขออภัยอย่างจริงใจ และแสดงความรับผิดชอบ พร้อมแสดงความมุ่งมั่นที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาเดิมซ้ำขึ้นอีก อีกหนึ่งรูปแบบคือการให้เหตุผล โดยอธิบายถึงข้อเท็จจริงที่สังคมไม่รับทราบ และการชี้แจงที่มาที่ไปของปัญหาโดยมีหลักฐานประกอบชัดเจน ก่อนแสดงความรับผิดชอบออกมา ซึ่งวิธีนี้จะสามารถลดระดับความเลวร้ายที่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของแบรนด์ได้มากขึ้น 

          2.3 การฟื้นฟูความเชื่อมั่น  

          คือการฟื้นฟูชื่อเสียง และความเชื่อใจของลูกค้าจากความเสียหายที่เกิดขึ้น ตั้งแต่การชดเชยเบื้องต้น ในรูปแบบการมอบเงินค่าชดเชย หรือการส่งสินค้าชดเชย ควบคู่ไปกับการแสดงความรับผิดชอบ โดยการออกมาขออภัยอย่างจริงใจ ยอมรับความผิด และแสดงความพร้อมที่จะรับผิดชอบกรณีที่เกิดขึ้น 

          2.4 การเสริมสร้างความเชื่อมั่น และภาพลักษณ์  

          เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น โดยพยายามทำให้ผู้เสียหาย หรือผู้คนที่ติดตามประเด็นดังกล่าวเกิดความรู้สึกในแง่บวกกับแบรนด์ ซึ่งประกอบไปด้วยวิธีที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการย้ำเตือนความดีของแบรนด์ในอดีตที่ผ่านมา การแสดงความชื่นชมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ถึงความรู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสทางแบรนด์ได้รับผิดชอบ และแสดงถึงการมีความสัมพันธ์อันดีให้แก่กันหลังจบประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น ไปจนถึงการขอความเห็นใจจากสาธารณชนแบรนด์ได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใด ในกรณีที่แบรนด์ไม่ได้เป็นผู้ผิดและได้รับผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของแบรนด์ 

          ซึ่งการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นนั้นต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากใช้กลยุทธ์ดังกล่าวไม่ถูกเวลา หรือแบรนด์เป็นฝ่ายผิดจริง การเสริมสร้างภาพลักษณ์อาจส่งผลในทางตรงกันข้าม และอาจก่อกระแสโต้กลับได้ทันที   

3. วางแผนสื่อสารกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

Social Crisis นั้นมักเกิดจากการสื่อสารของผู้คนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤตขึ้น แบรนด์จำเป็นต้องมีการติดต่อสื่อสารกับทั้งบุคคลภายใน และภายนอกแบรนด์ ตั้งแต่พนักงานที่ได้รับผลกระทบ วิกฤต รวมถึงลูกค้า และคู่ค้า ดังนั้นเมื่อกลุ่มเป้าหมายในการสื่อสารเปลี่ยนไป การสื่อสารจึงจำเป็นต้องแยกประเภทเนื้อหา และเลือกใช้สื่อในการสื่อสารให้เหมาะสม 

4. จัดตั้งทีมสื่อสารในภาวะวิกฤต

เพราะ Social Crisis เป็นวิกฤตเร่งด่วนที่ต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น การตั้งทีมงานที่เกี่ยวข้องกับการรับมือภาวะวิกฤตจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติการจัดการ เมื่อ Social Crisis ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ซึ่งทีมงานควรเป็นบุคคลเกี่ยวข้องกับการดูแลเรื่องการสื่อสารแบรนด์อยู่ก่อน เพราะงาน Social Crisis Management ต้องอาศัยบุคคลที่ทำงานภายใต้แรงกดดันอย่างมหาศาลได้ รวมทั้งทีมงานจำเป็นต้องมีอำนาจอย่างเต็มที่ในการจัดการกับภาวะวิกฤต เพราะความรวดเร็วเป็นสิ่งจำเป็นในการควบคุม จัดการกับวิกฤต ที่สำคัญที่สุดคือทีมงานต้องมีข้อมูลข้อเท็จจริง และมีความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างถ่องแท้ เพื่อการสื่อสารอย่างถูกต้อง และชัดเจน

สรุป

Social Crisis แม้จะคาดการณ์ได้ยาก แต่หากแบรนด์์รับรู้ปัญหาได้เร็ว ก็สามารถป้องกันการแพร่กระจายของดราม่า และการโจมตีทางสังคมได้ ในทุกวิกฤต เป็นบทเรียนให้แบรนด์เรียนรู้ และพัฒนาสินค้าและบริการได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการเรียนรู้จากความผิดพลาด และการเตรียมพร้อมแก้ไขปัญหาจึงสำคัญที่สุด 

การใช้ Social Crisis Solution จาก transcosmos จะช่วยให้แบรนด์รับมือ และจัดการวิกฤตได้ทันท่วงที พร้อมทั้งสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้บริโภคได้ในระยะยาว พร้อมช่วยให้แบรนด์ปรับปรุงสินค้าและบริการตามความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น 

 

สามารถอ่านเรื่องราวของ Social Crisis Solutions ต่อบนเว็บไซต์ต่อ ได้ที่  Social Crisis Solutions และ Social Analysis ต่างกันอย่างไร? (https://www.trans-cosmos.co.th/th/blog/detail/44)